Content

ฝันให้ไกล ไปให้ไกลกว่า ศรีราชา-เชียงใหม่-ปาย-แพร่-ศรีราชา

Sunday, December 28, 2008 0 comments


กลับมาแล้วครับจากทริปใหญ่ส่วนตัว ศรีราชา-เชียงใหม่-ปาย ทริปนี้ไปคันเดียวเพราะเวลาว่างไม่ตรงกับเพื่อนๆ เลยต้องฉายเดี่ยว แล้วก็มีรถเซอร์วิสหนึ่งคัน ขนเครื่องมือนำหน้าประมาณ 50 กิโลเมตร --‘

ผมมีแผนที่จะไปปายมาประมาณหนึ่งเดือนก่อนเดินทางแล้วหลังจากที่เคลียงาน ตกลงกับหัวหน้าว่าจะไปเที่ยว ปิดแผนกไปเลย เหราะว่ามีแค่สองคน ตอนแรกก็กะว่าขับรถไปธรรมดา แต่ได้เอ่ยกับแฟนว่าอยากเอาKSRไป ทำไงดี ติดปัญหาอยู่ว่าไม่มีคนดูแลลูกเวลาขับรถ แล้วปัญหาก็ถูกแก้ เพราะไปชวนน้องคนนึงมาช่วยดูลูกเวลาขับรถ ทุกอย่างก็ลงตัว

แต่หลังจากนั้นไม่นาน KSRผมก็มีปัญหา แหวนลูกสูบติด เลยต้องไปหาอะไหล่ จากพี่ในกลุ่ม(น้าต้อม ศรีราชา) ได้ทั้งลูกสูบ แหวนสูบ เสื้อสูบ ครบชุด แล้วก็ได้น้องแถวบ้านมาช่วยประกอบ ก็เลยแก้ปัญหาไปได้อีกเปราะกว่าจะได้ไปลำบากมากเลย เจอปัญหาตั้งแต่คิดแล้วครับ

แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มหาเส้นทางที่จะผ่านกรุงเทพยังไงให้น้อยที่สุด ก็ถามคนในเวบหลายคนก็ได้เลาๆว่าเส้นนิมิตรใหม่ ก็เลยหาข้อมูลจาก google earth แล้วก็ได้ไปสำรวจเส้นทางซึ่งช่วงนั้นลูกก็ไม่สบายเข้าโรงพยาบาล ก็เลยไปสำรวจเส้นทาง ทั้งๆที่ยังไม่รุ้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า ได้เส้นทาง บางปะกง ฉะเชิงเทรา นิมิตรใหม่ ลำลูกกา ธัญบุรี วังน้อย อยุธยา เส้นทางนี้ดีทีเดียว แต่เสียหลายอย่าง 555 รถบรรทุกเยอะ ทางเปลี่ยว ถนนมีหลุมนิดหน่อย ดีอย่างเดียวที่ไม่เข้ากรุงเทพ ตามที่ผมต้องการ

แล้ววันเดินทางก็มาถึง ผมวางแผนออกจากบ้านตอนตี4 เพราะกะว่าจะถึงช่วงลำลูกกาช่วงฟ้าสาง ทางเปลี่ยวๆจะได้ไม่น่ากลัว ถึงเวลาจริงออกตี4ครึ่ง ไปถึงลำลูกกาสว่างพอดี ปลอดภัยหายห่วง

ช่วงแรกผมก็นัดกับแฟนที่สิงห์บุรี กะว่าระยะทางประมาณ 250 กิโล น่าจะไปได้สบาย แต่ปัญหาก็เกิดว่าน้ำมันหมด แต่ก็มีสำรองนะครับ แต่ปัญหาคือ อัตราสิ้นเปลืองไม่ได้เป็น 45-50 กิโลเมตต่อลิตร อย่างที่คิด คร่าวๆแค่ 33 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้น ระยะทางที่วางไว้ว่าจะนัดเจอกันอย่างไร ตามน้ำมันของKSR จึงคลาดเคลื่อนทั้งหมด แต่ช่างมัน น้ำมันหมดก็เติม จะไปเที่ยวซะอย่าง น้ำมันก็ถูก เต็มถังแค่ร้อยกว่าบาทสบายมาก หลังจากนั้นก็เลยนันดแฟนว่าไปเจอกันอีกที่ที่ตากเลยแล้วกัน

หลังจากแยกกันที่สิงห์บุรี ไปได้ครึ่งชั่วโมงถึงชัยนาท(มั้ง) ความง่วงเริ่มครอบงำครับ เลยต้องแวะโด๊ป กาแฟหนึ่งกระป๋อง พร้อมหมากฝรั่ง

ขอแทรกนิดนึงครับ เส้นทางจากอยุธยาไปถึงเชียงใหม่ ไปทางตาก เค้ามีเลนสำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ขี่สบายมากครับ เหมือนกับว่าเตรียมไว้ให้ชาวสองล้อออกทริปเลย แจ๋วมา

แล้วผมก็ซัดยาวไปเรื่อย แวะเติมน้ำมันบ้างเมื่อไม่แน่ใจเส้นทางข้างหน้า ขอแนะนำเพื่อนๆให้สำรวจเส้นทางไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ พอดีผมชอบดูแผนที่ ก็พอนึกออกลางๆว่าระยะทางมันไกลมากน้อยแค่ไหน น้ำมันจะพอหรือเปล่า บางช่วงไม่มีปั๊มเลย แถมอยุ่ในป่าก็มี

แล้วก็นัดเจอกับแฟนอีกทีที่ตาก ครับ แฟนโทรมาบอก ถึงลำปางแล้ว ผมงงเลย ผมยังอยู่กำแพงเพชร ห่างกันสองร้อยกว่าโล แล้วถ้ามีปัญหาทำไงเนี่ย ถามไปถามมา อยู่ตากนี่เอง ไม่ไกล ห้าสิบโลเห็นจะได้ นัดกันปั้ม ปตท.นอกเมือง นอกจริงๆ ไปเป็นสิบโลเลย เลยแวะกินข้าว ชาร์ตแบตโทรศัพท์(เอาไว้ฟังเพลง) แล้วก็ออกเดินทาง นัดเจอกันอีกทีลำพูน ที่พระธาตุหริภุณชัย

ถนนดีตลอดทาง แต่พอออกจากตากเข้าเขตลำปางเริ่มมีหลุมมีบ่อให้กระเด้งบ้างแก้ง่วง ทางกรมทางหลวงเค้าก็ใจดีแก้ปัญหาด้วยการติป้ายบอกว่า ให้ระมัดระวังถนนชำรุด!! ขอบคุณมากครับกรมทางหลวง

แต่พอเข้าเขตเมืองลำปางทางดีครับ แล้วก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางในฝันของผมเส้นทางแรก ลำปาง-ลำพูน เส้นทางนี้มองไว้แต่แรกแล้ว ทางกว้าง โค้งสบายๆ อยู่ในป่า ทางสวยมากครับ เหมาะกับการอุ่นเครื่อง ซ้อมมือครับ ช่วงนี้ได้อัดกับฮอนด้า ดรีม เหอ เหอ รุ้กับอยู่ว่าใครชนะนะครับ

แล้วผมก็ไปถึงพระธาตุประมาณ บ่ายสองครึ่ง เร็วกว่าที่คิดมากครับ เทียบเวลาแล้วก็เก้าชั่วโมงได้ เวลาพักรวมกันประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ แต่ยังไม่ถึงเชียงใหม่นะครับ

แล้วผมก็ออกจากพระธาตุไปเชียงใหม่ประมาณ สี่โมงครึ่ง กะว่าถึงเชียงใหม่ก่อนมืด ผมจองที่พักของอุทยานแห่งชาติ ไว้บนพระธาตุดอยสุเทพ

วันแรกรวมๆแล้วก็ประมาณแปดร้อยกว่ากิโลเมตรได้ครับ

วันที่สอง---

พาน้องที่ไปด้วยกันไปเที่ยวดอยปุย

ตัดมาอุบัติเหตุ ช่วงที่เที่ยวดอยปุยผมจอดรถไว้ด้านล่าง บริเวณร้านค้า กะว่าคนเยอะ รถไม่ห่ย แล้วก็เดินเที่ยว แฟนก็พาลูกไปต่างชุดชาวเขาน่ารักเชียว กำลังจะกลับ มีคนวิ่งมาบอก ว่ารถผมโดนชน - - ‘ ซวยแล้วกู!!!

ไปถึงที่จอดรถ รถผมจอดอยุ่หน้าป้ายดอยปุยที่คนเค้าชอบมายืนถ่ายรูป ไปถึงมองโช๊คหน้าก่อนเลย ถ้างอ กูซวยแน่ โชคดีไม่เป็นไร แล้วคนขับรถสองแถวแดง ก็มาบอกว่า มีเด็ก(เข้าใจว่าลูกเค้าเอง)เล่นในรถแล้วปลดเกียร์ทำให้รถไหล แล้วก็ชนรถผมลากลงมาที่ป้านดอยปุย กะด้วยตาคร่าวๆสิบกว่าเมตรได้

โชคดีที่แม่ค้าตรงนั้นไปเข้าห้องน้ำพอดีเลยไม่เป็นไร แต่โชคร้ายที่เป็นรถผม มองในแง่ดี ถ้าไม่มีรถผม รถคงไปชนร้านค้าฝั่งตรงข้าม มีคนบาดเจ็บ แต่เสียอย่างเดียว แม่งเป็นรถผม - -‘

สภาพรถก็ แฮนด์ที่เพิ่งซื้อมาจากน้องขวัญเบี้ยว กระจกหัก อกไก่แตก โครงด้านหลังบิด ตะแกรงหลังเบี้ยว การ์ดแฮนด์เป็นรอยนิดหน่อย เค้าถามผมว่าคิดเท่าไหร่ อารมณ์นั้นบอกไม่ถูก พูดไม่ออกเลย กะราคาแล้วบอกเค้าว่าพันห้าแล้วกัน เค้าก็ต่อว่าพันนึงนะ คนทำมาหากิน ผมไม่มีอารมณ์คุยก็เลยบอกว่าได้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่พอ แต่ความเศร้ามันครอบงำ แล้วผมก็เลยซ่อมรถเบื้องต้นตรงนั้น ถอดออกไก่ออก ย้ายกระจกจากด้านซ้ายมาด้านขวา(เพราะจำเป็นกว่า) ดัดโครงด้านหลังและตะแกรง ทำไปก็งงกับตัวเองว่าได้มาพันนึงทำไรได้บ้างวะเนี่ย แล้วก็มีชาวเขาคนนึงไปไปหยิบค้อนมาให้ผมเอามาทุบตะแกรงให้มันตรง ทุบไปก็เศร้าไป จังหวะนั้นใครมาถ่ายรูปป้ายดอยปุยจะมีรูปผมกะKSRจอดอยุ่ด้วยแน่นอน แล้วผมก็กลับไปที่รถ แฟนก็ถามว่าได้มาเท่าไหร่ ผมก็บอกว่าพันนึง ทั้งแฟนทั้งน้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันจะไปได้อะไร เสียหายตั้งเยอะ จังหวะนั้นอารมณ์ออกเลย เลยตะคอกไปให้เงียบ (ต้องขอโทษแฟนสุดที่รักด้วยครับ ส่วนน้องช่างมัน) ไม่น่าโมโหเลยเรายิ่งคิดยิ่งเครียด

หลังจากนั้นแฟนก็ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพกับน้อง ระหว่างทางที่ขี่รถกลับจากดอยปุยมาดอยสุเทพ คิดตลอดทางว่าทำไงดี ยังไม่ถึงปายเลย รถโดยชนซะนี่ ค่าซ่อมก็ไม่คุ้ม พอจอดรถก็รบกวนพี่ต้อมศรีราชา ให้ติดต่อใครก็ได้ในเชียงใหม่ที่มีแฮนด์กับกระจกบ้าง แล้วก็ได้มดภูมิช่วยติดต่อพี่หวะ ในเชียงใหม่ ทำให้ผมพอหาของได้ ผมเลยรู้สึกว่าซื้อKSR เหมือนซื้อประกันเลย มีเพื่อนทุกที่

หลังจากนั้นด้วยความสบายใจว่าเงินหนึ่งพันบาท มันจะพอซ่อมรถผมหรือไม่ ผมเลยเอาเงินนั้นให้แฟนไปทำบุญซะเลย ไม่รู้ได้บุญหรือป่าว เพราะตอนนั้นอารมณไม่ค่อยดี แต่ตัดสิ่งหนึ่งในใจได้ว่า ยังไงรถผม ผมจะซ่อมเอง!!

หลังจากนั้นก็ติดต่อพี่หวะ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอตัวจริงๆ

ขออนุญาตเล่าความในใจ ตอนแรกก่อนไปกะว่าจะโพสในบอร์ดเชียงใหม่ ว่าผมจะไปเที่ยวนะ อยากเจอเพื่อนๆ แต่มานึกๆดู เราไปแค่คนเดียว จะไปรบกวนเรียกเค้าทำไม แถมจะมีเวลาถึงชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไม่โพสดีกว่า และที่สำคัญอยากได้สติ๊กเกอร์เชียงใหม่ด้วย

หลังจากถามทางไปบ้านพี่หวะเรียบร้อย ก็ไปถึงบ้านพี่เค้ามีKSRจอดอยู่คันนึง มองจากด้านนอกก็ขอเดาว่า รถต้องสะอาดเอี่ยมแน่ๆ พี่หวะมาช่วยเปลี่ยนแฮนด์ และเปลี่ยนกระจก หลังจากหิ้วท้องรอผมอยุ่เกือบบ่ายโมงก็ยังไม่ได้กินข้าว ต้องขอขอบคุณมากๆครับ แล้วรถผมก็ได้แฮนด์ที่สมดุลและกระจกเพื่อความปลอดภัย

แล้วผมก็ขอบคุณพี่หวะ ด้วยความกล้า ที่ประโยคว่า พี่มีสติ๊กเกอร์เชียงใหม่มั้ยครับ ผมอยากได้(ผมโคตรหน้าด้านเลย ขนาดพี่เค้าช่วยแล้วยังไปขอพี่เค้าอีก แต่ผมถือว่า ถ้าไม่ขอก็ไม่ได้วะ) พี่เค้าก็ตอบว่าไม่มีครับ อยู่ที่น้องอีกคน แล้วผมก็ขอบคุณเค้าจริงๆแล้วก็ลา เพื่อที่จะเดินทางไปปายครับ



เมื่อออกจากเชียงใหม่มาปายก็เดินทางด้วยดี ทางโค้งไปมาอย่างที่รู้ๆกันทางสวยมากครับ อยากให้เพื่อนได้ไปเที่ยวบ้าง ระหว่างทางก็มีน้ำตกหมอกฟ้า ผมไม่ได้แวะเพราะเคยไปแล้ว ผมนัดกับแฟนที่น้ำพุร้อนโป่งเดือดครับ ไม่รู้ว่านำหน้าไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าแฟนผมไปวนในหมุ่บ้านป่าแป๋มารอบนึงแล้วยังมานั่งรอผมที่น้ำพุร้อนอยู่นานพอควร เจ๋งมากใช่มั้ยครับรถเซอร์วิสผม พร้อมเรียกใช้งานเสมอ

แล้วก็ไปต่อที่ห้วยน้ำดัง อันนี้เพื่อนๆที่ไปปายต้องไม่พลาดแน่ ดอกไม้สวยมาก อากาศดีมากๆ ช่วงเช้าๆจะเป็นทะเลหมอกครับ ช่วงนี้ก็เกือบแหกโค้งไปทีนึง ไม่รู้ทำไมไม่เข้าโค้งจะวิ่งชนราวกั้นซะงั้น ดีที่เบรคทัน

แล้วก็ไปถึงปายครับ โดยผมพักที่ ไฮ่อุ๋ยต๋าคำปาย (ไร่อุ๊ยตาคำปาย) http://www.tacomepai.com/ เป็นที่พักแนวอนุรักษ์ห่างจากเมืองปายมาทางเชียงใหม่ประมาณ 5 กิโลเมตร เจ้าของใจดีเคยเจอเมื่อสองปีก่อนที่มาเที่ยวปาย

ขอบรรยายถึงพี่สันโดษ เจ้าของไร่ตาคำปายนิดนึงนะครับ ไร่เค้าเป็นแบบอนุรักษ์ บ้านที่ให้พักทำจากไม้มุงด้วยใบสักเรียกว่าบ้านแบบชาวเขา ผมพักที่เฮือนโญน (ไม่เหมือนม่านรูดที่เป็นห้องญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝรั่งนะครับ) เค้าจะมีบ้านต่างๆชาวเขา ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มาอยู่แบบlong stay 3-4 เดือน เพื่อมาเรียนรู้ชีวิตกับธรรมชาติแบบชาวบ้าน ดังนั้นแรงงานส่วนใหญ่ในไร่ของพี่สันโดดก็จะเป็นฝรั่งครับ เอามา ทำไร่ ทำนา(ตั้งแต่ไถ หว่าน ดำ เกี่ยว แล้วก็ตำข้าวกิน) สร้างบ้าน ปลูกป่า ตอนนี้กำลังสร้างโรงเห็ดใหม่อยู่ พี่เค้าบอกว่าตอนแรกๆก็สอนให้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นแบบพี่สอนน้องคือพวกฝรั่งสอนกันเอง ตอนนี้ก็มีฝรั่งอยู่3-4 คน มีสาวเกาหลีหนึ่งคน แล้วหนุ่มญี่ปุ่นหนึ่งคน บางคนก็บริจาคเงินให้ด้วยอีกต่างหากแสน สองแสนก็แล้วแต่กำลัง ผมเจอฝรั่งคนนึงที่บริจาคเงินแสนกว่าบาท แล้วบอกพี่เค้าว่า เค้าจะขออยู่ด้วย ขอนอนเต็นท์นะ แล้วจะให้เงินค่าพักในไร่อีกต่างหาก ถ้าให้อยู่ฟรีไม่เอาเงินเค้าจะไม่อยุ่ จะไปอยุ่ในปายแทน แล้วจะโกรธพี่เค้า เอากะมันสิครับ เวลาฝรั่งมันชอบมันคลั่งไคล้มาก ชีวิตของคนในไร่จะเป็นแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ พี่เค้าจะสอนให้พยายามไม่ใช้พลาสติก จานข้าวเป็นกระบอกไม้ไผ่ผ่าซีก ช้อน แก้วน้ำก็เป็นไม้ไผ่ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีทีวีไปถ่ายไร่พี่เค้าเหมือนกัน เช่น คนค้นคน แล้วก็ช่องเจ็ดรายการอะไรไม่รู้ และ ทีวีของสิงคโปร์ เป็นต้น

พี่สันโดษโชคร้ายครับ เมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา เนื่องจากความประมาทของอำเภอ วางพลุไว้ใกล้คน เวลาจุดมันแตกแล้วกระเด็นเข้าตา เข้าตรงๆตา ข้างซ้าย ตาบอดเลยครับตอนนี้ก็ใส่พลาสติกอยู่น่าสงสารมากครับ แต่พี่เค้ากำลังใจดีมากไม่มีความท้อให้เห็น ยังมีการบอกว่ายังดีที่เหลืออีกข้าง ยังทำงานได้ตอนนี้ก็เรียนรู้วิธีใช้ตาข้างเดียวอยู่ ถ้านึกไม่ออกว่าลำบากยังไงลองหลับตาข้างนึงนะครับ แล้วเอาปากกากับปลอกปากกามาสวมกัน จะรู้ว่ามันสวมกันยากครับ

กลับมาทริปของผมต่อ... ผมก็พักตามปกติ ค่ำนั้นก็ตระเวนปายครับ แน่นอนซื้อโปสการ์ด สติ๊กเกอร์ ถ่ายรูปตามประสานักท่องเที่ยวเมืองปาย ที่น่าสังเกตอย่างนึงคือ สาวๆนักท่องเที่ยวที่นี่น่ารักทั้งนั้นเลย J

เช้าวันรุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้า ไปทำบุญตักบาตร ถ่ายรูปสะพานไม้ไผ่ ถ่ายรูปร้านมิตรไทย และไม่ลืมไป coffee in love ครับ

มาถึงช่วงบ่ายผมก็ได้ทำตามที่ผมวางแผนไว้ครับ คือ นอนกลางวัน สบายๆ อิอิ

ช่วงที่อยุ่ปายผมไม่ได้ทำอะไรมากครับ วางแผนคราวนี้ว่าจะมาพักผ่อน คือมานอนเล่นเท่านั้น ไม่ได้ไปเที่ยวไหนมาก

ตัดมาคืนสุดท้ายครับที่พักปาย พอดีมีงานวันเกิดลูกชายของพี่สันโดด เค้าก็จัดงานแบบง่ายๆแต่มีคุณค่า แรงงานฝรั่งก็มาจัดแต่งป้ายวันเกิด เตรียมงาน ผ่าฟืน ส่วนผมมีหน้าที่จ่ายตลาด ซื้อไก่ ปลา ผลไม้ แฟนผมหมักไก่ งานเลี้ยงคืนนั้นก็จัดรอบกองไฟ มีวงดนตรีของคนในบ้านเล่นดนตรี ส่วนใหญ่เป็นเพลงเหนือที่เราพอรู้จัก พี่สันโดษออกแบบเค๊กเอง ด้วยเนื้อเค้กเป็นข้าวเหนียวมูน ประดับด้วยผลไม้ สวยและน่ากินมาก

คราวนี้ผมได้ออกstepรำวงกับเค้าด้วยล่ะ มีภาพนึงที่ผมจำได้ติดตา พี่สันโดษเอนตัวลงนอกับเสื่อรอบกองไฟ แล้วพูดดังๆว่า สบายจริงโว้ย! ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำพูดของคนที่เพิ่งเสียตาไปหนึ่งข้าง แต่พี่เค้าก็ออกแบบชีวิตเค้า และทำตามที่เค้าฝันได้แล้ว ผมล่ะอิจฉาจริงๆ

เช้าวันที่ห้าของการเดินทาง วันนี้ผมจะต้องเดินทางออกจากปายไปแพร่ครับ พาแฟนไปไหว้พระธาตุช่อแฮ ตนเช้าฝนพร่ำๆ ผมคิดว่าคงมากับหมอก เดี๋ยวก็หมด ที่ไหนได้ตกตลอดเลยครับ ผมออกจากที่พักประมาณแปดโมงครึ่ง เจอKSRสองคันที่สะพานปายแต่ไม่ได้แวะทักทายเพราะกลับถึงที่หมายช้า ต้องขออภัยด้วยครับ แล้วก็ค่อยๆขี่รถไป โค้งแรกที่เข้าก็ลื่นเกือบล้มแล้วครับ ถนนลื่นมากเป็นยางมะตอยลื่นปรื๊ดเลย ช่วงแรกผมก็กะว่าเท่ รีล-เอาท์ เลยครับ เท้าด้านในโค้งแตะพื้นท้ายปัดนิดๆ หล่อเลย แต่ผ่านไปสองสามโค้ง ชักไม่ไหว อีกเจ็ดร้อยกว่าโค้งรออยุ่ เสี่ยงเกิน คนที่จะมาดูว่าเราเท่ก็ไม่มี เลยค่อยๆไปเรื่อยๆ 30-40-50 แล้วแต่โอกาส ผมถือว่าถ้าล้มล่ะก็งานเข้าแนๆ แม้จะมีเครื่องป้องกันก็ตาม ขากลับกว่าจะผ่านมาถึงแม่มาลัยมาได้ก็เกือบสิบเอ็ดโมงครับ ดูเวลาแล้วก็ไม่เร็วกว่าขาไปเท่าไหร่ ดังนั้นผมคิดว่าทางเขาอย่างนี้ขี่เร็วไปก็ไม่มีประโยชน์มากนักความปลอดภัยสำคัญกว่า

แล้วก็แวะพักที่ปั้มน้ำมันแถวแยกแม่มาลัยแป๊บนึง แล้วขี่ต่อไป นัดกับแฟนว่าเจอกันที่ขาออกจากลำปาง กะว่าเดี๋ยวเข้าปั๊ม ปตท.หลังออกจากลำพูน แล้วก็ได้ลุ้นอีกครับ ออกมาจากลำพูนมา ไม่มีปั๊ม ปตท.ครับขี่ยาวขึ้นเขาที่ขุนตาล ลำปาง ลุ้นไปว่าพอจะมีปั๊มน้ำมันมั้ย เพราะขี่ข้ามเขาจากปาย น้ำมันเหลือไม่ถึงครึ่งถังแล้ว จะหมดตอนไหนก็ไม่รุ้ กว่าจะเจอปั๊ม ก็ลงจากเขาขุนตาลพอดี พอได้เติมก็เกือบหมดถังครับ ผมเลยได้ข้อควรระวังว่าถ้าเป็นไปได้ จะขึ้นเขา ลงห้วย ก็มีน้ำมันเหลือซักครึ่งถังอย่างน้อยจะได้สบายใจ

ตัดจากลำปางมาแพร่ ป่าไม้แถวนี้อุดมสมบูรณ์มากครับ ทางกำลังทำ อนาคตคงขี่สบายมาก ผ่านอ.แม่เมาะ ตัดเข้าอ.ลอง ลืมบอกไปอย่างว่า ที่นัดกับแฟนว่าเจอกันที่ปั๊มปตท.นอกเมืองลำปางก็พลาดอีกครับ ไม่มีปั๊มครับ ผมเลยซัดยาวคนเดียวถึงแพร่เลยวันนี้อากาศไม่ดีฝนตกทั้งวัน แต่พอทำความเร็วได้ครับ ไม่ค่อยมีโค้งให้เสียวเท่าไหร่ เจอกันกับแฟนที่พระธาตุช่อแฮครับประมาณบ่ายโมงครึ่ง ทำเวลาใช้ได้เลย อยากบ่นมากๆว่าฝนตกตลอดเลย ขี่รถไม่สนุกเท่าไหร่ แล้วก็หาที่พัก ได้พักที่โรงแรมน้ำทองในกาดน้ำทองครับ

คืนนั้นเลยต้องซัดยาพาราสองเม็ด ไปสองครั้ง ช่วงค่ำไปกินข้าวในบิ๊กซี ขอแอบนินทาว่าสาวๆที่แพร่ก็น่ารักดีนะครับ ของขึ้นชื่อที่นี่ก็คือเสื้อม่อฮ่อม พอดีไปถึงวันศุกร์ ใส่กันเยอะเลย ใส่กันเยอะๆแล้วสวยดีครับ เสียดายที่ในบิ๊กซีไม่มีขายไม่งั้นก็ได้ซื้อแล้ว

เช้าวันสุดท้าย เดินทางกลับบ้านครับ นัดกับแฟนที่สิงห์บุรีครับ ดูระยะทางแล้วประมาณหกชั่วดมงได้ ใช้เส้นทางถนนหมายเลข11 ตรงยาวไปโผล่สิงห์บุรีเลย ฝนตกตั้งแต่ออกเลยครับ น่าเบื่อมากๆเวลาขี่มอเตอร์ไซค์แล้วฝนตก จะไม่ไปก็ไม่ได้ อยากกลับบ้านแล้วก้เลยลุยฝน

และแล้วความซวยก็มาเยือนอีกครั้งครับ ตั้งแต่ออกจากโรงแรม รถมีอาการติดๆดับๆ เวลาเบาเครื่อง แต่พอเวลาปล่อยไหวรถก็ติดเอง ขี่จนจะถึงอุตรดิตถ์ แยกที่มีลองกอง ทุเรียน ดาบน้ำพี้ อยู่ คราวนี้รถดับเลยครับ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด งานเข้าเลยครับ รถเซอร์วิสไปไหนแล้วไม่รู้ แต่พอดีผมพกเครืองจำเป็นไว้ตลอดการเดินทาง เลยปล่อยเค้าไปเลย วิเคราะห์อาการเบื้องต้น ก็พบว่าสตาร์ทไม่ติด วิ่งขณะฝนตก มีสองอาการหลักๆที่นึกออกคือ ไฟช๊อตกับน้ำเข้าคาร์บู ที่คิดว่าว่าไฟช๊อต เพราะว่าผมทำสายไฟไหม้จากการต่อสปอตท์ไลท์ แล้วซ่อมสายไฟบางส่วนไว้ซึ่งคิดว่าดีพอแล้ว กับน้ำอาจจะเข้าคาร์บูซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะรถผมเดิมๆเลย ก็เลยต้องเปิดเช็ค ไล่ดูสายไฟกับระบบไฟ ก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา แล้วก็เลยคลายน๊อตใต้คาร์บูเพื่อปล่อยน้ำมันออก อ่า... มันสตาร์ทติดครับ ไม่ทันได้ดีใจเท่าไหร่ ไปได้แค่ไม่กี่สิบเมตรก็ดับอีก คาวนี้เลยปล่อยน้ำมันในคาร์บุออกอีก ยังสตาร์ทไม่ติดอีก ก็ไม่รู้จะทำไง สตาร์ทไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ติดครับ แต่ไปได้ไม่ไกลก็ดับอีก จำได้ว่าดับอยู่ทั้งสองแยกไฟแดงที่ติดกันอยู่ คราวนี้เลยไล้น้ำมันก้นถังออกเลยครับ โดยถอดสายน้ำมันใต้ถังออกแล้วปล่อยน้ำมันทิ้ง เผื่อมีน้ำอยู่ในถังน้ำมัน สตาร์ทอยุ่นานสุดท้ายก็ติดครับ แต่เช่นเดิมไปได้ไม่นานก็ดับอีก ผมสังเกตว่าเวลาที่ผมออกตัวผมออกด้วยความดีใจ ลากรอบไปสุดๆเลยอาจจะเป็นสาเหตุที่มันดับอีกอย่างก็ได้ เลยเข็นเข้าปั๊ม ปตท.ใกล้ๆคราวนี้เอานน้ำมันในถังกับคาร์บูออกเยอะมาก มั่นใจว่าสาเหตุนี้แล้ว แล้วก็พักเครืองไปเข้าห้องน้ำซะหน่อย ออกมาตั้งใจสตาร์ทดีๆ เฮ้ย ติดเฉยเลย ยกล้อไปเติมน้ำมันเลย แค่ระยะใกล้นะไม่ได้เล่นนานแล้ว ยกล้อจริงๆครับต้องขอโทษด้วยที่ไม่สุภาพ แต่มันอัดอั้นปนกับดีใจแบบสุดๆ อารมณ์ว่ากูจะได้กลับบ้านซะที คราวนี้เติมน้ำมันเต็มถัง เสียเวลาไปชั่วโมงนึงเต็มๆ

รถเสียครั้งนี้ก็เป็นบทเรียนว่า จะเดินทางอย่างน้อยก็มีเครื่องมือจำเป็นติดกระเป๋าไว้บ้างครับ ที่ผมพกประจำก็คือ บล๊อกชุด 8-9-10 และ 10-12-14 แล้วมีประแจ 8, 10, 12, 14, 17, ประแจเลื่อน, ประแจชุดหกเหลี่ยม คีมเล็กๆ และเคเบิลไทด์ครับ สำคัญมากเลย เพราะรถเราเองซ่อมเองถอดบ่อย อาจจะมีอะไรหลุดหลวมก็ได้ครับ

แล้วก็ซัดยาวมาสิงห์บุรี ฝนหยุดแถวๆเข้าเขตพิษณุโลก แวะทักทายกับคุณตำรวจหนึ่งด่าน ตรวจเพื่อความเรียบร้อย มีอีกอย่างที่ผมเตรียมไว้ก็คือเอกสารทะเบียนรถ สำคัญมากครับ มันอาจจะทำให้ช้าได้ถ้าไม่มี ถ้าซวยก็โดนยึดรถเพื่อตรวจสอบ อันนี้ไม่ต้องการเลยครับถนนเส้นนี้ผมทำความเร็วได้ดีครับ ถึงเก้าสิบถึงร้อยนิดๆ เพิ่งรู้เหมือนกันว่ารถเราทำความเร็วได้ขนาดนี้ แล้วได้ท่อผ่าจากน้องขวัญมาด้วย อาจไม่แรงแต่ได้เสียก็ได้ใจแล้ว อิอิ

เจอแฟนที่สิงห์บุรี ก็ประมาณ2.45 หักรถเสียหนึ่งชั่วโมง ผมใช้เวลาเดินทางแค่ห้าชั่วโมงสี่สิบห้านาที เร็วกว่าที่คาดครับ แถมยังได้พักเติมน้ำมันเป็นระยะด้วย หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ศรีราชาเส้นทางเดิมครับ วังน้อย-ธัญบุรี-ลำลูกกา-นิมิตรใหม่-ฉะเชิงเทรา-บางปะกง-ชลบุรี-ศรีราชา ส่วนรถเซอร์วิส เข้าวงแหวนกลับบ้านเลยครับ คิดว่าเค้ารอผมหรือเปล่า ขอบคุณมากครับแฟนที่รัก

ช่วงธัญบุรี ลำลูกกา รถบรรทุกเยอะมาก เสียวๆอยุ่เหมือนกัน บางครั้งก็ห้าว แต่นึกได้ว่า อุตส่าไปเที่ยวมาตั้งไกล จะมาเกิดอุบัติเหตุแถวนี้คงไม่สวยเท่าไหร่ ก็เลยเพลาๆมีลง พอมาถึงฉะเชิงเทรา ฟ้าเริ่มมืด ผมเห็นรถมอเตอร์ไซค์บางคันขี่โดยไม่มีไฟท้าย มองไกลๆไม่เห็นเลย อันตรายจริงๆ ผ่านฉะเชิงเทรามาซักพักก็เห็นรถพวกไม่มีไฟท้ายอีก ก็เลยเอะใจว่าแล้วรถเราเป็นไงบ้างหว่า แจ๊คพ๊อตเลยครับ ไฟท้ายตัวเองก็ไม่มีครับ อ่า...ผมมีอุปกรณ์สำรองเวลาเดินทางไกลครับ ผมเรียกว่าไฟหางช้างครับ มันก็คือไฟท้ายจักรยานนั่นเองครับ ก็เลยเอามาติดหลังเป้ตัวเอง แล้วก็สำเหนียกด้วยว่าตัวเองก็ไม่มีไฟท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มัวแต่ไปว่าคนอื่นเค้า แล้วผมก็ใช้วิธีขี้รถโดยไม่ให้รถจี้หลังครับ คือบิดสุดๆเท่าที่KSRเดิมๆพอได้(รู้ๆกันอยุ่ว่าเท่าไหร่) แซงแหลกครับ

สุดท้ายที่ทุกคนรอคอบถึงบ้านประมาณหนึ่งทุ่มครับ ระยะรวมทั้งหมด 2200 กิโลเมตรหย่อนไป 3 กิโลเมตร อาจจะออกงวดนี้ก็ได้นะออกจากบ้านเลขไมล์อยุ่ที่ 15,325 ถึงบ้าน 17,522 รถเขรอะสุดๆเท่าที่เคยเพราะลุยโคลนที่อุตรดิตถ์ มือขวายังชานิดๆจนถึงปัจจุบัน

ถามว่าสิ่งที่กลัวที่สุดก็คืออุบัติเหตุครับ รถเสียไม่กลัวเลย บอกได้เลยว่าค่อนข้างมั่นใจกับรถ ซ่อมได้ก็ซ่อม ซ่อมไม่ได้ก็ยกขึ้นกระบะขนกลับบ้าน แต่อุบัติเหตุไม่มีการแก้ตัวครับ ผมจึงเตรียมอุปกรณ์ป้องกันเท่าที่ทำได้ และที่สำคัญเตรียมตัวให้มาที่สุด ช่วงที่ง่วงมันก็เสียแล้ว ยอมให้ขี่ไปง่วงไปไม่ได้ แล้วที่สำคัญสุดๆคือต้องสติ เพราะเราระวังตัวแล้วอาจจะมีคนอื่นทำให้เราได้รับบาดเจ็บได้ บางทีขี่ๆอยู่รถแซงสวนมาจนผมต้องหลบหลายครั้งแต่อยุ่ในระยะปลอดภัยครับ ก็รอดตัวไป มีครั้งนึงที่เกือบชนเพรามันแต่บิดลืมดูว่าไฟแดงแต่ก็เบรคทันแล้วเบี่ยงออกข้างไป ถือว่าเรื่องเหล่านี้ธรรมดานะครับเพราะขับรถก็เจอ แต่อาจจะต้องระวังมากกว่าขับรถเพราะเรามันเนื้อหุ้มเหล็กตอบสนองตัญหาก็ต้องระวังตัว

สุดท้ายขอขอบคุณผุ้สนับสนุนทุกท่าน

ตั้งแต่ แฟนผมที่ยอมให้ผมทำอะไรบ้าๆบ้าง น้องออยที่ดูแลมาดูแลลูกสาวให้ตอนแฟนผมขับรถ พี่ต้อมที่ให้ยืมอุปกรณ์ป้องกัน(ผมอยากใส่แต่ผมไม่อยากใช้ประโยชน์จากมันครับ) และพี่ยังช่วยติดต่อมดภูมิหาอะไหล่ให้ผม พี่หวะ เชียงใหม่ที่ให้ผมยืมแฮนด์กับกระจกมองข้าง(ผมจำเป็นต้องใช้กระจกในการขี่รถมากครับ ไม่มีกระจกผมขาดความมั่นใจมาก) พี่สันโดษไร่ตาคำปายที่ให้ผมรู้จักการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ที่สำคัญพ่อกับแม่ครับ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าลูกชายขี่มอเตอร์ไซค์หนีเที่ยวไปถึงปาย

Read more »

ทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยซื้อรองเท้าบาสเก็ตบอลให้ผม

Wednesday, December 17, 2008 0 comments
กีฬาบาสเกตบอล แทบจะเป็นกีฬาเดียวที่ผมเล่นตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น

เหตุผลง่ายๆคือ มีสนามบาสเกตบอลใกล้บ้าน และมีพวกเตะบอลชอบมาแย่งเล่นทำให้ยิ่งไม่ชอบพวกเล่นบอล ก็เลยเล่นแต่บาสเกตบอล เท่าที่จำได้เล่นจริงๆจังๆตั้งแต่ ม.2 โดยหวังว่าจะเ่ล่นในกีฬาสี ซึ่งคัดตัวง่ายมาก ด้วยการยิงจุดโทษ ใครยิ่งเข้าได้เป็นนักกีฬาเลย

บาสเกตบอลสอนผมหลายอย่างจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกที่หัดเล่นก็คือ จงอยู่ในจุดที่พร้อมจะเล่น อย่าไปยืนอยู่ในมุมอับ มันก็ไม่ต่างกับชีวิตประจำวันเท่าไหร่ อยุ่ในมุมอับมีแต่ถูกลืม แล้วก็หมดประโยชน์ แต่ทุกวันนี้บางครั้งก็อยุ่ในมุมอับ จนหัวหน้าต้องปวดหัว

สิ่งต่อมาที่บาสสอนก็คือ รักษาพื้นที่ของตัวเองไว้ อย่าให้ใครมาแหยม อันนี้คงเข้าใจไม่ยาก

สิ่งต่อมาที่หาได้ยากในคนไทยก็คือ ทีมเวิร์ค คนไทยขาดเรื่องนี้อย่างมาก จึงไม่ไปถึงไหนเท่าไหร่ พวกเรามักปลอบใจตัวเองว่า คนไทยความสามารถเฉพาะตัวเยอะถ้าสู้ตัวต่อตัวไม่แพ้ใคร แต่ไม่เก่งเรื่องทีมเลยสู้เค้าไม่ได้ แต่ผมอยากเถียงว่าเรื่องทีมก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่พัฒนาส่วนนี้ที่ตัวคนจะไปพัฒนาที่ไหนครับ

คนเก่งไม่จำเป็นต้องเล่นเอง คล้ายๆกับเมื่อกี้ คุณคิดว่าใครสำคัญที่สุดในทีมของนักกีฬาไทย คงต้องเป็ฯผู้เล่นคนใดคนหนึ่งที่เพื่อนๆยกย่อง แต่เปล่าเลยผมกลับมองว่าโค้ชหรือผู้จัดการทีมต้องเก่งกว่าด้วย เพราะเค้าไม่ได้เป็นแค่คนคนเดียว แต่เค้าเป็นทุกคนที่เล่นอยู่และนั่งรอข้างสนาม ภาพนี้หามองได้สำหรับทีมโรงเรียน แต่ทีมตามข้างถนน สวนสาธารณะ ไม่มีหรอกครับ ไม่ต้องไปหา

อันอื่นๆอีกเยอะแยะ แต่ขอตัดมาอันสุดท้าย อันนี้จริงๆไม่ได้มาจากบาสเกตบอล แต่ได้มาจากหนังครับ เค้าบอกทำนองว่า ตัวสำรองจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่พร้อมที่จะเล่น ฟังครั้งแรกแล้วทิ่มเข้าหัวใจเลย เราเป็นตัวสำรองที่้ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลยที่ผ่านมา เลยต้องพยายามทำตัวเองให้พร้อม เราไม่รุ้ว่ามันไหนเราจะมีโอกาสเป็นตัวจริงบ้าง ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเทียบเท่าตัวจริงอยู่เสมอ

ร่ายซะยาว ยังไม่เกี่ยวกะหัวเรื่องที่จะพูดเลย

อย่างที่บอกผมเลยบาสมานานครับ (แต่ไม่เก่งเท่าไหร่ พอเป็นตัวสำรองได้) ตั้งแต่เริ่มเล่น นักกีฬาทุกคนต้องการอุปกรณ์ดีๆเอาไว้คู่ตัว ผมก็เดินผ่านส่วนของรองเท้ากีฬาอยุ่เสมอ แล้วก็ไปดูว่ารองเท้ามันราคาเท่าไหร่ คู่ไหนสวย คู่ไหนมาใหม่ ตั้งแต่สมัยนั้นราคาเริ่มต้นก็ประมาณพันต้นๆถึงสามพัน(เมื่อสิบปีที่แล้วก็แพงเอาการ) จนปีหนึ่งได้เงินปีใหม่มา ก็เลยไปถอยรองเท้าหุ้มข้อมาคู่หนึ่ง ด้วยความคิดว่ารองเท้าหุ้มข้อและมีระบบีรังแรงกระแทก มันต้องใช้เล่นบาสได้แน่นอน อย่างน้อยๆก็ระดับหนึ่ง ปัจจุบันยิ่งนึกยิ่งขำ รองเท้าที่ซื้อมาคือรองเท้าปีนเขาครับ พื้นหนาๆ(ตอนนั้นกะว่าทนชัวร์เล่นได้นาน) ก็เลยมีรองเท้าบาสคุ่แรกเป็นรองเท้าปีนเขา แล้วที่ขำกว่านั้นคือ ผมไม่ได้คิดว่ารองเท้านั้นเป็นรองเท้าบาสคนเดียวครับ ผมเห็นคนอีกเยอะซื้อรองเท้ารุ่นนั้นมาเล่นบาส

แล้วหลังจากนั้นผมก็จะมองหารองเท้ามือสองมาใส่ ในสมัยแรกๆนั้นรองเท้ามือสองยังดีอยู่ แต่ก็ต้องใช้ประสบการณ์ในการเลือกอยุ่

แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นรองเท้าบาสในห้าง ผมก็มักจะนึกว่าอยากจะขอเงินพ่อแม่มาซื้อบ้าง แต่เท่าที่จำได้ยังไม่เคยครับ เพราะพอรู้กำลังทรัพย์และความจำเป็นของมันอยู่ รองเท้าคู่ละสองสามพัน ใส่เล่นหนักๆสามเดือนก็พังแล้ว ใส่รองเท้าธรรมดาก็เก่งได้ แค่รู้สึกว่ามันหล่อกว่าเดิมเท่าั้นั้นเอง แต่ก็ไม่วายคิดทุกครั้งว่าอยากได้ซักคู่

นั่นคือเรื่องสมัยเรียน

ทุกวันนี้ทำงานมาห้าปี ซื้อรองเท้าบาสคุ่แรกในชีวิต ราคาพันต้นๆ หลังลดราคาสี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากนั้นอุบัติเหตุ เล่นบาสไม่ได้มานถึงทุกวันนี้ กรรมจริง

เมื่อไม่นานมานี้ ได้คุยกับแม่ แม่เล่าเรื่องว่าทำแว่นตาหาย หาอยุ่นานด้วยความกระวนกระวาย เพราะแม่บอกว่าราคาแพง ไอ้เราก็นึกถึงราคาแว่นตาโอ๊คเลย์ ราคาสามสี่พัน แล้วแม่ก้เอ่ยออกมาว่า แว่นอันนี้แพงมากเลย ตัดมาตั้งแปดร้อย!!!

คำถามทุกอย่างตั้งแต่ม.1 มาเฉลย ณ วินาทีนั้น ทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยถามถึงรองเท้าบาส และถ้าผมขอสักคู่ก็คงพอเดาคำตอบได้

มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในชีวิตเลย ครับคนหาเงินเค้าบอกว่าแปดร้อยก็แพงมากแล้ว แล้วกะรองเท้าสองสามพัน ใช้แค่เล่นกีฬาเพื่อความหล่อ มันสำคัญนักรึไง

ขอบคุณครับ ที่ทำให้ผมคิดได้และรู้สึกได้ครับ
Read more »

Labels

Followers

Powered by Blogger.
My Ping in TotalPing.com